การประเมินบทบาทของยาจีนคงไม่มีผู้ใดที่จะให้ความเห็นได้ดีไปกว่า ศ.จงหนานซาน ราชบัณฑิต  ผู้เชี่ยวชาญโรคทางเดินหายใจแห่งชาติ ม.กว่างโจว  ท่านเป็นแพทย์แผนปัจจุบันที่ทำหน้าที่รับมือกับโรคโควิด-ซาส์ครั้งแรกเมื่อ 17 ปีก่อน  มาในครั้งนี้ท่านก็ได้รับหน้าที่เป็นในการวางมาตรการรับมือกับการระบาดของโรคโควิด-19 จนสามารควบคุมการแพร่ระบาดของโรคในจีนได้สำเร็จ   ทำให้ท่านได้รับรางวัลเกียรติยศแห่งสาธารณรัฐระดับสูงสุดจากรัฐบาลจีนเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา 

      

ศ.จงหนานซาน อายุ 84 ปี เกิดที่เซี่ยเหมิน มณฑลฮกเกี้ยน  เป็นผู้อำนายการศูนย์วิจัยการแพทย์ทางคลินิกโรคระบบทางเดินหายใจแห่งชาติ  รพ.ที่หนึ่งสังกัดมหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์กว่างโจว  รัฐบัณฑิต  เป็นผู้ที่ทำงานด้านการวิจัยโรคระบาดทางเดินหายใจรุนแรงและโรคทางเดินหายใจเรื้อรังมายาวนาน  เป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญในการป้องกันรักษาโรคปอดอักเสบจากไวรัสโคโรน่าซาส์ (SARS) เมื่อ 17 ปีก่อน  ในครั้งนี้เป็นผู้ที่ได้ลงความเห็นว่าโรคไวรัสปอดอักเสบสายพันธุ์ใหม่สามารถแพร่จากคนสู่คน  จึงต้องเน้นหนักที่การควบคุมและป้องกันการแพร่กระจายของโรค  จนนำไปสู่การวางมาตรการกักกันโรคอย่างเข้มงวดจนประสบความสำเร็จในการควบคุมโรค  เป็นผู้อำนวยการการเรียบเรียงแนวทางการตรวจวินิจฉัยและการรักษาปอดอักเสบสายพันธุ์ใหม่  เป็นคุณูปการที่ยิ่งใหญ่ในการควบคุมป้องกันโรคระบาด  การรักษาและกู้ชีพผู้ป่วยหนัก  และการทำงานวิจัย จึงได้รับการประกาศเกียรติคุณได้รับมอบเหรียญคุณความดีแห่งชาติ  และเหรียญเกียรติยศแห่งชาติ  ซึ่งเป็นเกียรติยศระดับสูงสุดของจีน

 

โดยที่ ศ.จงหนานซานเป็นแพทย์แผนปัจจุบัน ทัศนะของท่านที่มีต่อบทบาทของยาจีนจึงมีความสำคัญมาก  ดังที่ ศ.หวางเอี้ยนฮุยได้บันทึกไว้หนังสือภาพลิ้นโรคระบาดจากพิษชื้น(ซืออี้-หมายถึงโรคโควิด-19) ไว้ว่า  “เรื่องยาจีน  เราไม่ควรคาดหวังว่ายาจีนว่าจะมีบทบาทแรงต่อไวรัส   ในทางที่เป็นจริงนั้นเป้าหมายของการใช้ยาจีนไม่ได้อยู่ที่ตัวไวรัส   แต่อยู่ที่การปรับปรุงสภาวะของผู้ป่วย   เป็นบทบาทที่ผ่านการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันของร่างกายในการขจัดไวรัส เป็นสำคัญ”  (หวางเอี้ยนฮุย  ซืออี้เสอเซี่ยง 湿疫舌象 หน้า 7)

คำแนะนำข้างต้นจึงทำให้เราเมื่อหันกลับมามองบทบาทของยาจีนที่ใช้ในการรับมือโควิด-19  โดตลอดมาก็เห็นได้ว่าเป็นไปตามแนวทางนี้  โดยมีตัวเลขจำนวนผู้ป่วยที่ไม่ได้ภาวะโรคไม่ได้ไปสู่อาการหนักกระทั่งร้ายแรงจนเสียชีวิตเป็นตัวชี้วัด 

จากตัวเลขผู้ป่วยในประเทศจีนเมื่อผ่านไปจะครบ 1 ปี ในกลางเดือนธันวาคม 2020  มีจำนวนต่ำกว่าผู้ป่วยในสหรัฐอเมริกาและยุโรปมาก  แสดงให้เห็นว่ามาตรการต่างๆ รวมทั้งการแพทย์แผนจีน-ยาจีนที่ประเทศจีนใช้นั้นประสบความสำเร็จเป็นอย่างดีแม้ในยามที่โลกยังไม่มีวัคซีนต้านโควิดใช้

ในด้านการวิจัยแบบวิทยาศาสตร์ก็เป็นงานที่ทางประเทศจีนให้ความสำคัญและดำเนินการควบคู่ไปด้วย  ดังที่ ศ.จงหนานซานได้กล่าวไว้ในการแถลงข่าวขอมณฑลกวางตุ้งเมื่อวันที่ 18 กันยายน 2020 ว่า   ควรให้ความสำคัญต่อบทบาทของยาจีนในการป้องกันและควบคุมโรคโควิด-19  ขณะนี้กำลังมีการวิจัยยาจีน  โดยนำยาที่มีการใช้ในทางคลินิกมาก่อนมาทำการทดสอบประสิทธิผลในสามด้าน ได้แก่ 1.สามารถยับยั้งไวรัสได้หรือไม่  2. สามารถจำกัดการเข้าสู่เซลล์ของไวรัสได้หรือไม่  3. สามารถลดความรุนแรงของการอักเสบที่เกิดขึ้นได้หรือไม่  ทีมงานจากสถาบันวิจัยสุขภาพทางเดินหายใจนครกว่างโจวได้เปิดเผยว่า ได้นำจากจีนสำเร็จรูปที่ได้รับอนุญาตให้จำหน่ายมาก่อนหน้านี้แล้วจำนวน 54 รายการ มาทำการวิจัยแบบภายนอกร่างกายอย่างเป็นระบบ  จากการทดสอบภายนอกร่างกายในเบื้องต้นพบว่ามียา 5 รายการที่สามารถระงับไวรัสโควิดได้

ผู้เชี่ยวชาญจากทีมงานกล่าวเพิ่มเติมว่า  แม้ว่ายาจีนสำเร็จรูปนี้จะแสดงผลต้านไว้รัสและต้านอักเสบในระดับเซลล์  จนทำให้กล่าวได้ว่าได้นำมาซึ่งความหวังในการรักษาไวรัสสายพันธุ์ใหม่นี้   แต่ยังต้องผลักดันให้มีการวิจัยทางคลินิกอย่างเคร่งครัดต่อไปเพื่อยืนยันถึงประสิทธิผลในการรักษา  และจะเป็นประโยชน์ต่อการบูรณาการการแพทย์แผนจีนกับแผนปัจจุบัน  เพื่อบรรเทาความต้องการอย่างรีบด่วนในการต้านโรคระบาด(สำนักข่าวซินหัวกว่างโจว18 ก.พ. เซียวเอินเอิน รายงาน)

 

 

งานวิจัยยาจีนตำรับ หมาซิ่งสือกานทัง-หยินเชี่ยวส่าน ที่ได้รับการตีพิมพ์ใน Annals of Internal Medicine ที่ ศ.จงหนานซานยกว่าเป็นต้นแบบงานวิจัยของยาจีน